วันเสาร์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ตัวเรายังมีค่าที่สุดเสมอ


        อาจารย์คนหนึ่ง เริ่มการสนทนาในชั้นเรียนด้วยการควักธนบัตรใบละ 1,000 บาท ออกมาให้นักศึกษาดู แล้วถามว่า มีใครอยากได้บ้างไหมทุกคนรีบยกมือ (^o^)
        อาจารย์ขยำธนบัตรนั้น จบยับยู่ยี่” .. แล้วถามอีกครั้งว่า มีใครยังอยากได้ธนบัตรใบนี้อีกหรือไม่” .. ทุกคนยังยกมือขึ้นเหมือนเดิม .. (^_^)
        อาจารย์ถามต่ออีกว่า ถ้าสมมุติว่า ธนบัตรใบนี้ถูกทิ้งอยู่บนพื้น แล้วมีคนมาเหยียบย่ำจนสกปรก ยังจะมีใครอยากได้อีกหรือไม่นักศึกษาทุกคน ก็ตอบว่ายังอยากได้
อาจารย์จึงกล่าวสรุปว่า
        “นั้นคือสิ่งมีค่าที่พวกเธอได้เรียนรู้ในวันนี้! ไม่ว่าจะเธอจะทำอะไรกับธนบัตรใบนี้ มันก็ยังคงจะมีราคา 1,000 บาท อยู่เสมอ .. ชีวิตคนเราก็เช่นเดียวกันบางครั้ง เราอาจจะถูกทอดทิ้ง ถูกใครต่อใคร ซ้ำเติม, เหยียบย่ำ, ถูกขยี้, ยับเยิน,  เพราะความผิดพลาดในการก้าวเดินของชีวิต จนทำให้เกิดความรู้สึกว่าตนเอง ไร้ค่า”  แต่ รู้ไหม?.. ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เธอก็ยังมี คุณค่าของความเป็นคนไม่ว่าเธอจะสะอาดเอี่ยม หรือว่า ยับยู่ยี่ .. ตัวเราก็ยังมีค่าที่สุดเสมอ จำไว้ ^o^  
ขอให้ทุกคนอ่านอย่างมีความสุขนะคะ
C("o")D

ความรักภาษามือ


        ตั้งแต่แรกเริ่ม ครอบครัวของหญิงสาวก็กีดกั้นไม่ให้หญิงสาวคบกับชายหนุ่มบอกว่าบ้านชายหนุ่มไม่มีฐานะเทียบเท่าบ้านเธอ  ถ้าหญิงสาวไปอยู่กับชายหนุ่มก็จะต้องทนลำบากทั้งชีวิต  ความกดดันจากทางบ้านทำให้หญิงสาวอารมณ์ไม่ค่อยดีเสมอ  และทะเลาะกับชายหนุ่มอยู่เรื่อย  หญิงสาวนั้นรักชายหนุ่มมาก เธอถามชายหนุ่มบ่อยครั้งว่า  “เธอรักฉันมากขนาดไหน?” แต่ชายหนุ่มเป็นคนพูดไม่เก่ง  ทำให้หญิงสาวโกรธเขาหลายครั้ง  บวกกับคำพูดของพ่อแม่เธอ ยิ่งทำให้หญิงสาวอารมณ์เสียมากยิ่งขึ้น  ชายหนุ่มจึงกลายเป็นที่ระบายอารมณ์ของเธอ  เขาก็ทนยอมรับอย่างเงียบๆโดยไม่ว่าหญิงสาวเลยสักคำ  หลังจากนั้น ชายหนุ่มเรียนจบมหาลัยแล้ว  ตัดสินใจจะไปเรียนต่อที่ต่างประเทศ  ก่อนไป เขาเอ่ยปากขอแต่งงานกับหญิงสาว  “ผมอาจจะเป็นคนพูดไม่เก่ง ปากไม่หวาน แต่ผมรู้ว่าผมรักคุณมาก  ถ้าคุณตกลงใจยินดี ผมก็จะดูแลปกป้องคุณตลอดชีวิต สำหรับครอบครัวคุณ  ผมจะพยายามทำให้พวกเขายอมรับในตัวผม แต่งงานกับผมเถอะนะ ได้ไหม?” หญิงสาวตอบตกลงชายหนุ่ม และด้วยความพยายามของชายหนุ่ม  พ่อแม่ของหญิงสาวก็ยอมรับเขา 
        ในที่สุดชายหนุ่มและหญิงสาวได้หมั้นกัน  ก่อนที่ชายหนุ่มจะไปเมืองนอกไม่นานนัก  ชายหนุ่มไปเรียนหนังสืออยู่ต่างแดนเพียงลำพัง  ส่วนหญิงสาวก็คงยังอยู่ภายในประเทศ และออกมาทำงานแล้ว  ชายหนุ่มไม่อาจกลับมาเยี่ยมหญิงสาวได้  เพราะเขาต้องใช้เงินอย่างประหยัด  ส่วนหญิงสาวก็ไม่มีเวลาไปหาชายหนุ่มได้  ทั้งสองจึงได้แต่เพียงติดต่อกันผ่านโทรศัพท์และจดหมาย  แต่ถึงกระนั้นความสัมพันธ์ของทั้งสองคนก็คงยังมั่นคงมิได้เปลี่ยนแปลงสักนิด  วันหนึ่ง หญิงสาวออกจากบ้านไปทำงานตามปกติ  ระหว่างทางที่เดินไปสู่ป้ายรถเมล์   มีรถคันหนึ่งได้พุ่งตรงเข้าหาเธอ  เมื่อหญิงสาวฟื้นขึ้นมา เธอเห็นพ่อแม่อยู่ข้างเตียง  ถึงเพิ่งรู้ว่าเธอประสบอุบัติเหตุและบาดเจ็บสาหัส  โชคยังดีที่ว่าไม่ถึงกับชีวิต  หญิงสาวเห็นพ่อแม่เธอร้องไห้โศกเศร้าไม่หยุด  จึงเอ่ยปากคิดจะปลอบโยนพวกเขา แต่เธอได้พบว่า  เธอพูดอะไรออกมาไม่ได้เลยสักคำ  เธอพยายามที่จะเปล่งเสียงออกมาให้ได้  แต่ก็ทำได้แค่มีเสียงคล้ายเสียงหอบเท่านั้น  หญิงสาวกลายเป็นใบ้ไปเสียแล้ว…  หมอบอกว่าเพราะอุบัติเหตุครั้งนี้ หญิงสาวนอกจากบาดเจ็บที่ขาแล้ว  สมองยังถูกกระทบกระเทือน  เพราะฉะนั้นหญิงสาวจะพูดอะไรไม่ได้อีกเลยชั่วชีวิต  หญิงสาวได้แต่รับฟังคำปลอบโยนของพ่อแม่เธอ  แต่เธอไม่สามารถที่จะตอบอะไรได้เลย หญิงสาวสิ้นหวังแล้ว  หญิงสาวได้แต่ร้องไห้ไม่หยุดทั้งวันทั้งคืน  หลังจากนั้น หญิงสาวออกจากโรงพยาบาลและพักอยู่ที่บ้าน  ทุกสิ่งทุกอย่างก็ยังเป็นเช่นเดิม  มีแต่เพียงเสียงโทรศัพท์ในห้องเธอกลายเป็นฝันร้ายที่มาทรมานเธอ  แต่ละครั้งที่เสียงโทรศัพท์ดังเป็นเหมือนดังมีดคมทิ่มแทงเข้าไปในใจเธอ  ความทรมานที่เธอต้องทนรับก็ไม่อาจจะบอกให้ชายหนุ่มรู้ได้ เธอไม่อยากเป็นตัวถ่วงของเขาจึงเขียนจดหมายบอกชายหนุ่มว่าเธอไม่อยากจะรอเขาอีกต่อไป  เธอกับเขาจบสิ้นกันแล้ว และเธอก็ส่งแหวนหมั้นกลับไปให้เขาด้วย  หญิงสาวไม่รู้จะทำอย่างไรได้กับจดหมายและโทรศัพท์ของชายหนุ่มที่มีมาไม่ขาด  เธอได้แต่น้ำตาไหลรินเต็มหน้าทุกวัน พ่อของหญิงสาวไม่อาจทนเห็นเธอต้องทนทรมานเช่นนี้อีกต่อไป  จึงตัดสินใจย้ายบ้าน  หวังอยากให้หญิงสาวลืมความทุกข์นั้นและอยู่อย่างมีความสุขมากกว่านี้  เมื่อเปลี่ยนสภาพแวดล้อมแล้ว หญิงสาวก็ดีขึ้นหน่อย  เธอค่อยๆหัดเรียนใช้ภาษามือแทนคำพูด ทุกสิ่งทุกอย่างก็เริ่มต้นใหม่  เธอบอกกับตัวเองเสมอว่าให้ลืมชายหนุ่มเสีย  
        วันหนึ่ง เพื่อนสนิทของหญิงสาวบอกกับเธอว่า ชายหนุ่มกลับมาแล้ว  และออกตามหาเธอไปทั่ว หญิงสาวขอร้องเพื่อนเธอว่า  อย่าบอกเรื่องของเธอให้ชายหนุ่มรู้ เรียกให้เขาลืมเธอเสีย  หลังจากนั้น เธอก็ไม่ได้รับรู้ข่าวคราวของชายหนุ่มอีกเลย  เวลาผ่านไปได้ปีกว่า เพื่อนของหญิงสาวมาบอกกับเธออีกว่า ชายหนุ่มจะแต่งงานแล้วและขอร้องให้เธอเอาการ์ดแต่งงานมาให้หญิงสาว  หญิงสาวได้รับฟังแล้วก็เศร้าใจมาก เธอเปิดการ์ดนั้นด้วยมือสั่น  แต่กลับเห็นชื่อเธอเองบนการ์ดใบนั้น  เมื่อหญิงสาวกำลังจะถามเพื่อน ชายหนุ่มก็มาปรากฏตัวอยู่ต่อหน้าเธอ  ใช้ภาษามือที่แข็งกระด้างบอกกับหญิงสาวว่า  “ผมใช้เวลาปีกว่าที่ผ่านมาบังคับให้ตัวเองหัดใช้ภาษามือให้ได้ เพื่อที่จะบอกกับคุณว่า  ผมไม่เคยได้ลืมสัญญาระหว่างเราสองคนเลย  โปรดให้โอกาสผมได้เป็นเสียงให้แทนคุณ ผม-รัก-คุณ

แว่นตาชีวิต


ใครรวยกว่าใคร ลองคิดดู
        อภิมหาเศรษฐีเกือบจะชราผู้หนึ่ง สุดแสนจะภูมิใจ ที่ลูกชายวันห้าขวบของเขา กำลังจะได้เข้าเรียนในโรงเรียนชื่อดัง ซึ่งระดับเศรษฐีอย่างพวกเขาเท่านั้น จึงจะมีปัญญาส่งลูกหลานเข้าเรียนในโรงเรียนนี้ได้ โดยส่วนตัวของเขาเอง ก็อยากจะสอนให้ลูกชายรู้จักกับชีวิตจริงในโลก ควบคู่ไปกับการสอนทฤษฏีในโรงเรียน
        ในวันหยุดเขาจะตระเวนพาลูกชายคนเดียว ไปท่องเที่ยวในสถานที่ต่าง ๆ แล้ววันหนึ่ง เขาก็คิดถึงหัวข้อการสอนเรื่องความยากจน เพราะเขามีความเชื่อว่า ลูกชายของเขาคงไม่มีวันรู้จักแน่นอน  เขาจึงพอลูกชายไปเยี่ยมครอบครัวชาวนาครอบครัวหนึ่ง และพักอยู่กับชาวนาเป็นเวลา 1 วัน 1 คืน กลับถึงคฤหาสน์ของเขาในวันต่อมา มหาเศรษฐีก็จะทดสอบว่าลูกชายได้อะไรบ้าง จากการไปพักแรมกับชาวนาผู้ยากจน
ลูกชายตอบคำถามผู้เป็นบิดาว่า เขาขอขอบคุณเป็นอย่างมาก ที่ได้พาเขาไปพบกับชาวนาและพักแรมที่นั่น ซึ่งทำให้เขาได้พบว่า….
...ชาวนามีที่ทำงานเป็นท้องนาที่กว้างใหญ่  ในขณะที่พ่อมีเพียงห้องสี่เหลี่ยมที่ว่ากว้าง แต่ก็ยังน้อยกว่าท้องทำงานของชาวนา
...อาหารที่ชาวนารับประทาน สามารถหาได้ตลอดเวลารอบๆ บริเวณบ้านโดยไม่ต้องซื้อหา  ในขณะที่บ้านของเรามีตู้เย็นเท่านั้นที่เป็นที่เก็บอาหาร
...เวลารับประทานอาหารก็มีเพื่อนคุยอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาพ่อแม่ลูก  ในขณะที่ตัวเองก็ต้องนั่งทานอาหารกับโต๊ะอาหาร ที่ยาวเกือบสิบเมตร และมีเก้าอี้ว่างเปล่าทั้งสองด้าน
...ลูกชาวนาที่ซ้อนท้ายจักรยานของพ่อเขา ต้องกอดเอวพ่อให้แน่นเพื่อจะได้ไม่ตกจากจักรยาน  แต่เขาเองต้องนั่งในรถที่ใหญ่โตอยู่ข้างหลังเพียงลำพัง โดยมีคนขับรถพาไปทุกที่
...ชาวนามีแสงดาวแสงจันทร์เป็นโคมไฟส่องสว่างตลอดเวลาในเวลากลางคืน โดยไม่ขาดแคลน  แต่เขาก็มีเพียงแสงจากโคมไฟที่ต้องซื้อด้วยเงิน
...ชาวนามีรั้วบ้านเป็นแม่น้ำ ภูเขาที่กว้างสุดลูกหูลูกตา  แต่เขาเองกลับมีเพียงแค่กำแพงบล๊อคในพื้นที่ไม่กี่ไร่
...ลูกชาวนาได้มีเพื่อนเล่นเป็นจิ้งหรีด หิ่งห้อยนับร้อยนับพัน  แต่เขาเองกลับไม่มีใครเลย  ผู้เป็นพ่อฟังแล้วเงียบงัน ลูกชายสบตาพ่อเต็มตา  แล้วจบว่า
ขอบคุณมากครับพ่อ ที่ช่วยให้ผมได้สำนึกว่า เราจนขนาดไหน
คุณเห็นด้วยไหมว่า แว่นตาชีวิตนี่ช่างเป็นสิ่ง
น่าอัศจรรย์ยิ่งนัก คิดดูสิว่าโลกจะเปลี่ยนไปสักเพียงใด
ถ้าเราทุกคนเปลี่ยนมา
เป็นปลื้มและพอใจในทุกสิ่งที่เรามี แทนที่จะดิ้นรน
ไขว่คว้าเพื่อสิ่งที่เรายังไม่ได้มา
ขอจงพอใจในสิ่งที่เรามีอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อน
ชีวิตหนึ่งของเรานั้น สั้นนัก และเรามีเพื่อนได้น้อยมาก
จงแบ่งปันความรู้สึกที่ดีๆให้เพื่อนของเรา เหมือนที่เราอยากได้

สูญเสียเพื่อที่จะได้รับ


        เศรษฐีคนหนึ่งต้องสูญเสียเงินทั้งหมดไปกับการค้า แถมยังเป็นหนี้สินอีกมาก เขาจึงต้องขายบ้านและรถ แต่ก็ยังใช้หนี้ไม่หมด ในช่วงเวลาแห่งความยกจนข้นแค้นนั้น เขาต้องต่อสู้อย่างโดยเดี่ยว มีเพียงหมาแสนรักร่วมเผชิญชะตากรรมกับเขา
        ในคืนที่หิมะตกหนัก เขาเดินทางไปหมู่บ้านแห่งหนึ่ง เขาหลบหิมะเข้าไปในกระท่อมและใช้ไม้ขีดไฟจุดไฟขึ้นและเตรียมอ่านหนังสือ แต่บังเอิญมีลมพัดมาทำให้ไฟดับ รอบกายมีแต่ความมืดมิด อดีตเศรษฐีตกอยู่ในความมืดอย่างเดียวดาย ทำให้มีความรู้สึกสิ้นหวังแว่บเข้ามาถึงกับจะฆ่าตัวตายแต่ยังดีที่มีหมาคู่ใจอยู่เคียงข้างคอยเป็นเพื่อน จึงได้แต่ถอนหายใจและข่มตาหลับ
        เช้าวันรุ่งขึ้น เขาพบว่าหมาของเขาถูกฆ่าตายอยู่หน้ากระท่อม เขาก็มีความคิดอยากฆ่าตัวตายอีกครั้งเนื่องจากไม่มีอะไรต้องอาลัยอาวรณ์อีกแล้ว เขาจึงกวาดตามองสรรพสิ่งบนโลกนี้เป็นครั้งสุดท้าย
เขาพบว่าทั้งหมู่บ้านเงียบจนน่ากลัว เมื่อเดินออกไปเรื่อยๆพบว่าคนในหมู่บ้านถูกฆ่าตายหมด ทำให้เดาได้ว่ามีโจรมาบุกปล้นเมื่อคืนและถูกฆ่าตายทุกคน  อดีตเศรษฐีจึงคิดได้ว่า ข้าเป็นผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียวของทีนี่ ถือว่าประเสริฐนักจึงควรมีชีวิตอยู่ต่อไป แม้ข้าจะเสียสัตว์ที่แสนรักไป แต่ก็ได้ชีวิตกลับคืนมา นี่คือสิ่งที่ทดแทนอันล้ำค่าที่สุด

วันศุกร์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ความเพียร ความพอดี


1. ความเพียร
การสร้างสรรค์ตนเอง การสร้างบ้านเมืองก็ตาม มิใช่ว่าสร้างในวันเดียว ต้องใช้เวลา ต้องใช้ความเพียร ต้องใช้ความอดทน เสียสละ แต่สำคัญที่สุดคือความอดทนคือไม่ย่อท้อ ไม่ย่อท้อในสิ่งที่ดีงาม สิ่งที่ดีงามนั้นทำมันน่าเบื่อ บางทีเหมือนว่าไม่ได้ผล ไม่ดัง คือดูมันควรทำดีนี่ แต่ขอรับรองว่าการทำให้ดีควรต้องมีความอดทน เวลาข้างหน้าจะเห็นผลแน่นอนในความอดทนของตนเอง
พระบรมราโชวาท พระราชทานแก่นักเรียน นักศึกษา ครู และอาจารย์ในโอกาสเข้าเฝ้าฯวันที่27 ตุลาคม 2516
2. ความพอดี
ในการสร้างตัวสร้างฐานะนั้นจะต้องถือหลักค่อยเป็นค่อยไป ด้วยความรอบคอบ ระมัดระวังและความพอเหมาะพอดี ไม่ทำเกินฐานะและกำลัง หรือทำด้วยความเร่งรีบ เมื่อมีพื้นฐานแน่นหนารองรับพร้อมแล้ว จึงค่อยสร้าง! ค่อยเสริมความเจริญก้าวหน้าในระดับสูงขึ้น ตามต่อกันไปเป็นลำดับผลที่เกิดขึ้นจึงจะแน่นอน มีหลักเกณฑ์ เป็นประโยชน์แท้และยั่งยืน
พระบรมราโชวาท ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของมหาวิทยาลัยขอนแก่น วันที่ 18 ธันวาคม 2540
3. ความรู้ตน
เด็กๆ ทำอะไรต้องหัดให้รู้ตัว การรู้ตัวอยู่เสมอจะทำให้เป็นคนมีระเบียบและคนที่มีระเบียบดีแล้ว จะสามารถเล่าเรียนและทำการงานต่างๆ ได้โดยถูกต้องรวดเร็ว จะเป็นคนที่จะสร้างความสำเร็จและความเจริญ ให้แก่ตนเองและส่วน รวมในอนาคตได้อย่างแน่นอน
พระบรมราโชวาท พระราชทานลงพิมพ์ในหนังสือ วันเด็ก ประจำปี 2521
4. คนเราจะต้องรับและจะต้องให้
คนเราจะเอาแต่ได้ไม่ได้ คนเราจะต้องรับและจะต้องให้ หมายความว่าต่อไป และเดี๋ยวนี้ด้วยเมื่อรับสิ่งของใดมา ก็จะต้องพยายามให้ ในการให้นั้น ให้ได้โดยพยายามที่จะสร้างความสามัคคีให้หมู่คณะและในชาติ ทำให้หมู่คณะและชาติประชาชนทั้งหลายมีความไว้ใจซึ่งกันและกันได้ ช่วยที่ไหนได้ก็ช่วย ด้วยจิตใจที่เผื่อแผ่โดยแท้    
พระบรมราโชวาท พระราชทานแก่นักศึกษามหาวิทยาลัยขอนแก่น วันที่ 20 เมษายน 2521
5. อ่อนโยน แต่ไม่อ่อนแอ
ในวงสังคมนั้นเล่า ท่านจะต้องรักษามารยาทอันดีงามสำหรับสุภาพชน รู้จักสัมมาคารวะ ไม่แข็งกระด้าง มีความอ่อนโยนแต่ไม่อ่อนแอ พร้อมจะเสียสละประโยชน์ส่วนตัวเพื่อส่วนรวม
พระบรมราโชวาท ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วันที่ 25 มิถุนายน 2496
6. พูดจริง ทำจริง
ผู้หนักแน่นในสัจจะพูดอย่างไร ทำอย่างนั้น จึงได้รับความสำเร็จ พร้อมทั้งความศรัทธาเชื่อถือและความยกย่องสรรเสริญ จากคนทุกฝ่าย การพูดแล้วทำ คือ พูดจริง ทำจริง จึงเป็นปัจ จัยสำคัญในการส่งเสริมเกียรติคุณของบุคคลให้เด่นชัด และสร้างเสริมความดี ความเจริญ ให้เกิดขึ้นทั้งแก่บุคคลและส่วนรวม
พระบรมราโชวาท ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วันที่ 10 กรกฎาคม 2540
7. หนังสือเป็นออมสิน
หนังสือเป็นการสะสมความรู้และทุกสิ่งทุกอย่างที่มนุษย์ได้สร้างมา ทำมา คิดมา แต่โบราณกาลจนทุกวันนี้ หนังสือจึงเป็นสิ่งสำคัญ เป็นคล้ายๆ ธนาคารความรู้และเป็นออมสิน เป็นสิ่งที่จะทำให้ มนุษย์ก้าวหน้าได้โดยแท้
พระบรมราโชวาท พระราชทานแก่คณะสมาชิกห้องสมุดทั่วประเทศ ในโอกาสที่เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท วันที่ 25 พฤศจิกายน 2514
8. ความซื่อสัตย์
ความซื่อสัตย์สุจริตเป็นพื้นฐานของความดีทุกอย่าง เด็กๆ จึงต้องฝึกฝนอบรมให้เกิดมีขึ้นในตนเอง เพื่อจักได้เติบโตขึ้นเป็นคนดีมีประโยชน์ และมีชีวิตที่สะอาด ที่เจริญมั่นคง
พระบรมราโชวาท พระราชทานเพื่อเชิญลงพิมพ์ในหนังสือวันเด็ก ปี พุทธศักราช 2531
9. การเอาชนะใจตน
ในการดำเนินชีวิตของเรา เราต้องข่มใจไม่กระทำสิ่งใดๆ ที่เรารู้สึกด้วยใจจ! ริงว่าชั่วว่าเสื่อม เราต้องฝืนต้องต้านความคิดและความประพฤติทุกอย่างที่ รู้สึกว่าขัดกับธรรมะ เราต้องกล้าและบากบั่นที่จะกระทำสิ่งที่เราทราบว่าเป็นความดี เป็นความถูกต้อง และเป็นธรรม ถ้าเราร่วมกันทำเช่นนี้ ให้ได้จริงๆ ให้ผลของความดีบังเกิดมากขึ้นๆ ก็จะช่วยค้ำจุนส่วนรวมไว้มิให้เสื่อมลงไป และจะช่วยให้ฟื้นคืนดีขึ้นได้เป็นลำดับ  
พระราชดำรัส พระราชทานเพื่อเชิญไปอ่าน ในพิธีเปิดการประชุมยุวชน

ขอทรงพระเกษมสำราญ และพระชนมายุยิ่งยืนนาน
ข้าพระพุทธเจ้านางสาวปภัสสร  คูเพ่งซัว
นักศึกษาสาขาคณิตศาสตร์  ระดับ ค..  มหาวิทยาลัยราชภัฏสุรินทร์

นิทานแสนสนุกของ "ม่อจื้อ"


ใครดีกว่ากัน
        อู๋หม่าจือถามม่อจื้อว่า "แม้ว่าท่านจะรักบ้านเมืองหนักหนา แต่บ้านเมืองก็ไม่เห็นได้ประโยชน์จากท่าน แม้ว่าข้าพเจ้าจะไม่รักบ้านเมือง แต่บ้านเมืองก็ไม่เคยได้รับผลร้ายอะไรจากข้าพเจ้า ต่างไม่มีผลเหมือนกัน แล้วทำไมท่านจะต้องนึกอยู่เรื่อยว่า ความคิดของท่านเป็นความคิดที่ถูกต้อง ความคิดของข้าพเจ้าเป็นความคิดที่ผิด?"
ม่อจื้อตอบว่า "สมมติว่าเวลานี้ มีคน ๆ หนึ่งมาวางเพลิงที่นี่ แล้วก็มีคนอีกคนหนึ่งรีบหิ้วน้ำเตรียมจะมาช่วยดับไฟ ขณะเดียวกันก็มีคนอีกคนหนึ่งถือเชื้อเพลิงเตรียมจะมาโหมไฟให้แรงขึ้น การตั้งท่าของคนสองคนนี้ต่างไม่มีผลอะไรต่อเพลิงที่กำลังลุกไหม้ แต่ในความรู้สึกของท่าน ท่านคิดว่าคนสองคนนี้ ใครดีกว่ากัน?"
  อู๋หม่าจือตอบว่า "ข้าพเจ้าคิดว่าคนที่หิ้วน้ำเตรียมจะช่วยดับไฟนั้นมีเจตนาที่ถูกต้อง ส่วนคนที่ถือเชื้อเพลิงเตรียมกระพือไฟให้ลุกแรงนั้นมีเจตนาที่ไม่ถูกต้อง"
ม่อจื้อกล่าวว่า "เหตุผลเดียวกัน ข้าพเจ้าก็รู้สึกว่าเจตนาของข้าพเจ้านั้นถูกต้อง และเห็นว่าเจตนาของท่านนั้นไม่ถูกต้อง"

กลอนเตือนตน


“อันชีวิตคนเราช่างสั้นนัก
ต้องรู้จักทำประโยชน์ก่อนจะสาย
ทิ้งไว้เป็นอนุสรณ์หลังความตาย
มีความหมายคงอยู่ตลอดไป”

วันพฤหัสบดีที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ทำไมคนเราจึงฝัน

เวลาเราหลับ สมองก็ยังทำงานแต่ประสิทธิภาพของสมองลดลงไปมาก การแสดงออกและตอบสนองของร่างกายก็จำกัดมาก จึงปรากฏเป็นเสียงและภาพที่ไม่ชัดเจน นั่นคือ ความฝัน นักวิทยาศาสตร์ที่ศึกษาเกี่ยวกับความฝันกล่าวว่า ความฝันเป็นสิ่งที่ดีและจำเป็นสำหรับคนที่ร่างกายและจิตใจปกติ

เพลงฟังเพื่อความเพลิดเพลินจ้า

http://www.youtube.com/watch?v=I3NWXom9jU4&feature=related

วันอาทิตย์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ความเป็นครูแห่งศรัทธา


ความเป็นครูแห่งศรัทธา
        จากปัญหาการเรียนการสอนโดยภาพรวมแล้วที่ทำให้เด็กไม่มีความสุขในการเรียน  ถูกแสดงออกมาหลายเรื่อง  เช่น  สภาพการเรียนการสอนที่น่าเบื่อ  คุณครูไม่ยุติธรรมแก่นักเรียนในเรื่องของการให้คะแนน  คุณครูใจร้ายไม่เข้าใจเด็ก  เฆี่ยนตีและดุด่าเด็กแบบไม่สุภาพไม่มีเหตุผลคุณครูไม่ค่อยมาสอน  คุณครูขี้เมามีกลิ่นสุราติดตัวขณะเข้ามาสอน  คุณครูผู้ชายประพฤติตนไม่เหมาะสมกับนักเรียนหญิง  ลวนลามแล้วขู่ห้ามบอกใครเด็ดขาด  จะเห็นว่าปัญหาเหล่านี้ก็เป็นแค่ส่วนน้อยในโรงเรียนแต่มีเกือบทุกโรงเรียน  พฤติกรรมของคูรูในลักษณะนี้ทำให้สถาบันการศึกษาเสื่อมโทรม  เนื่องจากไม่ได้รับการยอมรับจากผู้ปกครองและเด็กนักเรียนไม่อยากที่จะไปเรียนไม่รักการเรียน  ไม่ตั้งใจเรียน  และพฤติกรรมที่ไม่ดีของครูเหล่านี้ยังเป็นตัวอย่างที่ไม่ดีแก่นักเรียน  ทำให้นักเรียนบางคนเอาเยี่ยงอย่างที่ไม่ดีของครูไปใช้  ทำให้นักเรียนกลายเป็นเด็กที่ไม่มีคุณภาพ  สุดท้ายทำให้มาตรฐานการศึกษาในโรงเรียนต่ำลง  ซึ่งสอดคล้องตามความตอนหนึ่ง  จากพระบรมราโชวาทที่พระราชทานในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของวิทยาลัยวิชาการศึกษา  ประสานมิตร  เมื่อวันที่  ๑๒  ธันวาคม  ๒๕๑๐  ว่า
        “ งานด้านการศึกษาเป็นงานสำคัญที่สุดอย่างหนึ่งของชาติเพราะความเจริญและความเสื่อมนั้น  ขึ้นอยู่กับการศึกษาของพลเมืองเป็นข้อใหญ่ตามข้อเท็จจริงที่ทราบกันดีอยู่แล้ว  ระยะนี้บ้านเมืองของเรามีพลเมืองเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว  ทั้งมีสัญญาณบางอย่างเกิดขึ้นด้วยว่า  พลเมืองของเราบางส่วน  เสื่อมทรามลงไปในความประพฤติและจิตใจ  ซึ่งเป็นอาการที่น่าวิตกถ้าหากยังคงเป็นอยู่ต่อไป  เราอาจจะเอาตัวไม่รอด  ปรากฏการณ์เช่นนี้นอกจากเหตุอื่นแล้ว  ต้องมีเหตุมาจากการจัดการศึกษาด้วยอย่างแน่นอนเราต้องจัดการศึกษาให้เข้มแข็งยิ่งขึ้น”
        คำว่า “การศึกษา”  นั้น  มีความหมายกว้างขวางและมีนิยามมากมายดังนี้  การศึกษาคือการผสมผสานของกระบวนการทั้งหลาย  เพื่อให้บุคลได้พัฒนาความสามารถทัศนคติและพฤติกรรมอันมีค่าในสังคมของตน  การศึกษาคือกระบวนการทางสังคมที่มุ่งฝึกอบรมคนทั้งหลายในภาวะแวดล้อมที่กำหนดเพื่อให้คนพัฒนาความรู้ความสามารถไปถึงขีดสูงสุดของตน  การศึกษาคือศิลปะการปลูกฝังความรู้ที่ได้ประมวลไว้แต่อดีตให้แก่คนรุ่นต่อไปและ  การศึกษาคือวิชาการขั้นสูงแขนงหนึ่งที่จัดสอนให้สถาบันเพื่อเตรียมคนออกไปประกอบอาชีพครู  มีผู้ประมวลความไว้ว่าการศึกษาประกอบด้วยการรวบรวมสะสมความรู้  การถ่ายทอดความรู้  การปลูกฝังค่านิยม  ถ้ากล่าวโดยสรุปแล้ว  การศึกษาเป้นกระบวนการพัฒนาบุคคล  กระบวนการถ่ายทอดมรดกทางวัฒนธรรมและกระบวนการพัฒนาสังคมประสานกันไปเรื่อยๆ( โกสินทร์  รังสิยาพันธ์  2530 : 9-11 )  ในการศึกษานั้นจะต้องมีผู้ที่ให้การศึกษา  ให้ความรู้  นั่นก็คือ  คุณครูหรือแม่พิมพ์ของชาติ  แต่จะเป็นครูที่ดีได้นั้นจะต้องมีคุณลักษณะที่พึงประสงค์  ซึ่งมีลักษณะคือ  ครูจะต้องกระทำตนให้เป็นแบบอย่างที่ดีของศิษย์  เพราะศิษย์เปรียบเสมือนผ้าขาว  ซึ่งซึมซับทุกสิ่งที่สัมผัสโดยเฉพาะครูซึ่งมีเวลาใกล้ชิดกับเด็กมาก  ครูจึงถูกสังคมคาดหวังให้เป็นผู้มีคุณธรรม  จริยธรรม  มีวินัยและจรรยาบรรณครูสูงกว่าบุคลากรในอาชีพอื่น  ดังนั้น  ครูจึงต้องปฏิบัติตามวินัย  และจรรยาบรรณครูที่กำหนดไว้โดยเคร่งครัด  อีกทั้งต้องปฏิบัติตนตามหลักธรรมของศาสนา  เพื่อเป็นแบบอย่างของศิษย์  ตลอดจนผู้ปกครองและคนทั่วไปด้วย  ครูจะต้องสามารถทำงานเป็นทีมได้อย่างมีประสิทธิภาพ  นอกจากนั้นครูจะต้องเข้าใจว่าผู้เรียนรู้ได้จากสิ่งรอบตัวทั้งหมด  ทั้งครูที่โรงเรียน  พ่อแม่  ผู้ปกครอง  บุคลากรในชุมชน  ตลอดจนสื่อต่างๆ  ทั้งคอมพิวเตอร์และสื่อโทรคมนาคม  ซึ่งนับวันจะมีบทบาทในชีวิตประจำวันของผู้เรียนมากขึ้น  ดังนั้นครูต้องช่วยให้ผู้เรียนเก็บเกี่ยวความรู้และประสบการณ์จากสิ่งรอบตัว  รู้จักคิด  วิเคราะห์  และสังเคราะห์ข้อมูล  เพื่อเลือกรับสิ่งที่ดีมีประโยชน์  เพื่อพัฒนาตนเอง  ชุมชน  และสังคมต่อไป  สงคมคาดหวังให้ครูเป็นปูชนียบุคคล  เป็นแบบอย่างที่ควรเคารพบูชาของศิษย์  ดังนั้นครูจะต้องประพฤติตนอยู่ในกรอบของความเป็นคนเก่ง  และคนดี  อันจะนำศิษย์ไปสู่ความเป็นคนเก่งและคนดีตามไปด้วย  (สำนักงาน  ก.. กระทรวงศึกษาธิการ 2543 : 5 – 6 )
        นอกจากครูจะต้องมีคุณลักษณะอันพึงประสงค์แล้วจะต้องเป็นผู้ที่มีบุคลิกภาพที่ดีมีสง่าอีกด้วย  เนื่องจาก  กิริยาท่าทางของครูนั้นมีอิทธิพลต่อความรู้สึกนึกคิดของเด็กมากทีเดียว  ครูควรมีลักษณะการมีอำนาจอิทธิพลได้แก่  ลักษณะพฤติกรรมที่มีความเชื่อมั่นในตนเอง  มีอิทธิพลในด้านการพูด  มีความคล่องตัวกระฉับกระเฉง  มั่นใจในการตัดสินใจอย่างอิสระเป็นผู้ที่เชื่อถือได้มีความรับผิดชอบ  มีความเพียรพยายาม  และตั้งใจปฏิบัติตามงานที่ได้รับมอบหมายจนสำเร็จ  มุ่งมั่นในงานที่ทำ  เป็นคนไว้ใจได้  รับผิดชอบงานอย่างแท้จริง  มีความมั่นคงทางอารมณ์  และทำงานให้เป็นอิสระจากความวิตกกังวล  และลักษณะการเข้าสังคมควรเข้าร่วมสมาคมได้เป็นอย่างดี  สนทนากับผู้อื่นได้อย่างไม่เก้อเขินน่าสนใจ  ซึ่งจะเห็นว่า  การที่ครูจะพัฒนาตัวเองให้เป็นผู้มีบุคลิกภาพดีขึ้น  ควรมีคุณสมบัตรดังที่กล่าวมา  นอกจากนี้สุขภาพต้องดี  พูดจาชัดเจน  จักรักษากลิ่นปากและกลิ่นตัว  มีท่าทางสง่างามใบหน้าสะอาด  แต่งกายเหมาะสมเรียบร้อยให้เหมาะสมกับความเป็นครู(คณะอาจารย์ภาควิชาพื้นฐานการศึกษา  ม...  73 – 74 )  นอกจากนี้การผลักดันคุณภาพภายในตัวครูโดยกำหนดขึ้นบนพื้นฐานความเชื่อที่ว่า  เด็กทุกคนสามารถเรียนรู้ได้  ครูจึงต้องคำนึงถึงผลที่จะเกิดขึ้นกับผู้เรียนเป็นสำคัญ  ดังนั้นจึงมีเกณฑ์มาตรฐานวิชาชัพครูเป็นเกณฑ์การปฏิบัติตนและปฏิบัติงานในหน้าที่ของครู  เพื่อประกันคุณภาพการทำงานและการเป็นครู  ประกอบด้วยเกณฑ์  ๔  ด้าน  คือ  รอบรู้  สอนดี  มีคุณธรรมจรรยาบรรณ  และมุ่งพัฒนา  แต่ได้มีการพัฒนาเกณฑ์มาตรฐานวิชาชีพครูจากเดิม  ๔  ด้าน  เป็น  ๑๑  ข้อ  ให้มีเนื้อหาคลอบคลุมเกณฑ์เดิมดังนี้  มาตรฐาน ๑  ปฏิบัติกิจกรรมทางวิชาการเกี่ยวกับการพัฒนาวิชาชีพอยู่เสมอ  มาตรฐาน ๒  ตัดสินใจปฏิบัติกิจกรรมต่างๆ  โดยคำนึงถึงผลที่จะเกิดกับผู้เรียน  มาตรฐาน ๓  มุ่งมั่นพัฒนาผู้เรียนให้เต็มศักยภาพ  มาตรฐาน ๔  พัฒนาแผนการสอนให้สามารถปฏิบัติได้เกิดผลจริง  มาตรฐาน ๕  พัฒนาสื่อการเรียนการสอน  มาตรฐาน ๖  จัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่เกิดกับผู้เรียน  มาตรฐาน ๗  รายงานผลการพัฒนาคุณภาพ  มาตรฐาน ๘  เป็นแบบอย่างที่ดีแก่ศิษย์และสังคม  มาตรฐาน ๙  ให้ความร่วมมือในสถานศึกษา  มาตรฐาน  ๑๐  ให้ความร่วมมือในชุมชน  มาตรฐาน ๑๑  ใช้ข้อมูลข่าวสารในการพัฒนา  (สำนักงาน  ก.. กระทรวงศึกษาธิการ  2543 : 99 – 114 )  ในเรื่องของความเป็นครูยังมีสิ่งที่ลึกซึ้งอีกมากมายอย่างเช่นคุณธรรมและจรรยาบรรณสำหรับครู
        คุณธรรมสำหรับครูนั้น  ในทางพระพุทธศาสนายกย่องครูว่าเป็นปูชนียบุคคลเป็นผู้กระทำหน้าที่เช่นเดียวกับพระพุทธเจ้า  เป็นผู้นำทางวิญญาณหรือยกระดับวิญญาณของมนุษย์ให้สูงขึ้น  เป็นกัลยาณมิตร  เป็นแบบอย่างของศิษย์  เป็นพ่อแม่คนที่สองของศิษย์  เมื่อเป็นเช่นนี้ครูจะต้องฝึกอบรมและกระทำตนให้เป็นมนุษย์โดยสมบูรณ์  ให้เป็นคนมีจิตใจสูง  นั่นคือ  จะต้องเป็นผู้ที่เจริญด้วยคุณธรรม  คุณธรรมที่เป็นคุณสมบัติของครูมี  ๗  ประการ  คือ  ๑) ปิยตา  คือ  การทำตนให้เป็นคนน่ารักและให้เป็นที่รักของศิษย์  ๒)  ครุตา  คือ  การทำตนให้เป็นคนน่าเคารพให้เป็นที่เคารพของศิษย์  ๓)  ภาวนียตา  คือ  การอบรมตนให้เจริญ  อบรมตนให้เชี่ยวชาญในวิชาการ  ให้เจริญด้วยศีลธรรม  ๔)  วัตตุตา  คือ  การอุตส่าห์สั่งสอน  มานะอบรมตักเตือนด้วยการสอน           ๕)  วัจนักขันติ  คือ  การเป็นคนอดทนต่อถ้อยคำ  ต่อคำรบกวนของศิษย์  ๖)  คัมภีรกถากรนัง  คือ  การขยายของที่ยากซับซ้อนให้ง่ายโดยวิธีต่างๆ  ๗)  อนิโยชนัง  คือ  การไม่ชักนำศิษย์ไปในทางที่ไม่ควร  (โกสินทร์  รังสิยาพันธ์  2530 : 23 – 24 )  สำหรับจรรยาบรรณนั้นก็เป็นสิ่งที่สำคัญมากสำหรับครู  ควรค่าแก่การประพฤติปฏิบัติเป็นอย่างยิ่ง  ซึ่งจะให้ความหมายของจรรยาบรรณได้ดังนี้
        จรรยาบรรณ  คือ  จริยธรรม(จริยธรรมคือความประพฤติที่ดีงาม)ของผู้ประกอบวิชาชีพที่องค์กรวิชาชีพกำหนดขึ้นให้คนในวงการของตนปฏิบัติ  จรรยาบรรณของครูก็คือข้อกำหนดของคุรุสภาที่กำหนดให้ครูประพฤติปฏิบัติ  ระเบียบคุรุสภาว่าด้วยจรรยาบรรณครู  พ..  ๒๕๓๙  มีดังนี้  ๑)  ครูต้องรักและเมตตาศิษย์โดยให้ความเอาใจใส่และให้กำลังใจในการศึกษาเล่าเรียนแก่ศิษย์  ๒)  ครูต้องอบรมสั่งสอน  ฝึกฝน  และสร้างเสริมความรู้และนิสัยที่ถูกต้องดีงาม  ๓)  ครูต้องประพฤติปฏิบัติตนเป็นแบบอย่างที่ดีแก่ศิษย์ทั้งกาย  วาจา  และใจ   ๔)  ครูต้องไม่กระทำตนให้เป็นปฏิปักษ์ต่อความเจริญทางกาย  สติปัญญา  จิตใจ  อารมณ์และสังคมของศิษย์   ๕)  ครูต้องไม่แสวงหาผลประโยชน์อันเป็นอามิสสินจ้างจากศิษย์ในการปฏิบัติหน้าที่ตามปกติและไม่ใช้ จ้างวาน  ให้ศิษย์กระทำการใดๆอันเป็นการหาประโยชน์แก่ตนโดยมิชอบ  ๖)  ครูต้องพัฒนาตนเองทั้งในด้านวิชาชีพ  ด้านบุคลิกภาพและวิสัยทัศน์ให้ทันต่อการพัฒนาทางด้านต่างๆ  ๗)  ครูย่อมรักและศรัทธาในวิชาชีพครู  ๘)  ครูพึงช่วยเหลือและเกื้อกูลครูและชุมชนในทางสร้างสรรค์  ๙)  ครูพึงประพฤติและปฏิบัติตน  เป็นผู้นำในการอนุรักษ์  และพัฒนาภูมิปัญญาและวัฒนธรรมไทยให้คงอยู่เสมอ  (สำนักงาน  ก.. กระทรวงศึกษาธิการ 2543 : 131 – 133 )  ในงานด้านการศึกษานั้น  หลาย ๆ คนอาจมองว่าเริ่มต้นตั้งแต่สอนให้อ่าน ให้เขียน ก.ไก่ ข.ไข่ ความจริงไม่ใช่ นักปราชญ์ทุกยุคทุกสมัยให้การสังเกต แล้วพบความจริงอย่างหนึ่งว่า  “พ่อแม่คือครูคนแรกของลูก”  ดังที่ข้าพเจ้าได้สัมภาษณ์เพื่อนคนหนึ่งเมื่อวันอังคารที่  ๑๔  พฤศจิกายน  พ..  ๒๕๕๔   เธอมีชื่อว่า  นิตยา  ชุ่มเย็น  เธอได้กล่าวว่าครูคนแรกของเธอก็คือคุณแม่ของเธอนั่นเองและเธอได้ให้เหตุผลว่า  เพราะทันทีที่ลูกคลอดออกมาแม่ต้องทำหน้าที่เป็นครูสอนสุขศึกษาทันที  แม้ท่านไม่ได้สอนอย่างครูในโรงเรียน  แต่วิธีของท่านทำให้ลูกได้วิชานี้ติดตัวไว้ใช้จนวันตาย  คือ  การดูแลรักษาความสะอาดของลูกเอง  การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ทำให้ร่างกายแข็งแรง  เธอได้บอกว่าแม่ของเธอเป็นคนที่ใจดีมากๆ  รักและห่วงใยเธอเสมอ  คอยให้คำปรึกษาพูดคุยกับเธอและให้ทั้งความรู้  ความรัก  ความอบอุ่นกับเธอเป็นอย่างดี  ท่านเป็นครูที่คอยสอนในเรื่องต่างๆมากมาย  เช่น  เรื่องของการเป็นคนดีของสังคม  เป็นบุคคลที่ทันโลก  ทันเหตุการณ์  และทันคน  เพื่อให้เธอเอาตัวรอดได้ในสังคมเป็นอย่างดี
        หลังจากที่ได้สัมภาษณ์เพื่อนในเรื่องของครูคนแรกแล้ว  ข้าพเจ้าได้ทำการสัมภาษณ์ครูในโรงเรียนลานทรายพิทยาคม  ชื่อนางจุฬาลัย  เวชสถล  ตำแหน่งครูชำนาญการพิเศษ  เมื่อวันเสาร์ที่  ๑๗  ธันวาคม  พ.๒๕๕๔  ในหัวข้อ  “เพราะอะไรท่านจึงรักในวิชาชีพครู”  ท่านได้ให้การสัมภาษณ์ว่า  “วิชาชีพครูเป็นวิชาชีพที่สังคมคาดหวังไว้ว่า  ลูกหลานของตนจะต้องเป็นคนมีความรู้และเป็นคนดีในสังคม  เมื่อเป็นวิชาชีพที่สังคมคาดหวัง  ครูที่ทำให้สังคมสมหวังหรือประสบความสำเร็จครูย่อมมีความสุขที่สุด  และที่สำคัญที่สุดคือเด็กที่ครูสอนจะไปเป็นอนาคตของชาติในวันข้างหน้าและความรู้ที่ครูได้มาถ้าไม่ได้ถ่ายทอดไปสู่นักเรียนมันก็ไม่มีความหมาย  ครูรักและเคารพในจรรยาบรรณครู  และในจรรยาบรรณของความเป็นครูนั้นครูจะต้องศรัทธาในวิชาชีพครู  เพราะเป็นอาชีพที่มีคุณค่า  เป็นอาชีพที่สร้างคนให้มีความรู้และมีคุณธรรมจริยธรรม  ดังนั้นผู้ที่อยู่ในวิชาชีพนี้จะต้องประกอบวิชาชีพนี้ด้วยความรักและชื่นชมในความสำคัญของวิชาชีพ  สรุปเลยนะว่าครูรักอาชีพนี้เพราะครูรักนักเรียน  และครูรักชาติ ”  จากเหตุผลที่ได้ฟังจากการให้สัมภาษณ์แล้วทำให้ข้าพเจ้าดีใจที่ได้เข้ามาศึกษาในความเป็นครู  เพราะนอกจากจะเป็นการให้ความรู้ความสามารถแก่นักเรียนแล้ว  วิชาชีพครูยังเป็นผู้สร้างอนาคตของชาติอีกด้วย 
        นอกจากนี้ยังมีสัตว์ชนิดหนึ่งนั่นก็คือ  “ม้า”  ข้าพเจ้าจะนำมาเปรียบเทียบในหัวข้อ  “ครูกับม้า”  ซึ่งมีสิ่งที่คล้ายคลึงกันคือ  การพาคนที่ตัวเองรักไปให้ถึงจุดหมายปลายทางที่คาดหวัง  ม้ายอมให้เจ้าของของมันขึ้นขี่เพื่อที่เจ้าของของมันจะได้ไม่เหน็ดเหนื่อยในการเดินทางแม้ตัวม้าเองจะเหนื่อยและหนักก็ตาม  ส่วนครูก็เช่นกันยอมให้นักเรียนมาคลุกคลีพูดคุย  ถามไถ่  การบ้านหรือแบบฝึกหัดนอกเวลาเรียน  แม้ครูจะเหน็ดเหนื่อยกับการสอนและงานอื่นๆมาแล้วก็ตาม  ท่านก็ยอมเสียสละเพื่อที่จะให้ลูกศิษย์ของตนเข้าใจและทำแบบฝึกหัดได้  ม้ามีความอดทนสูงมากแม้จะหิวมากแค่ไหนแต่เมื่อเจ้าของยังไม่สั่งให้หยุดพักหรือให้กินอะไรมันก็พยายามที่จะพาเจ้าของของมันเดินต่อไปได้  ส่วนครูเมื่อสอนนักเรียนอาจจะไม่ได้ทานข้าวมาแต่ต้องมาทำหน้าที่ก่อน  ถึงแม้จะหิวและเหนื่อยแค่ไหนครูก็ใช้ความอดทนของความเป็นครูพยายามสอนให้ครบชั่วโมง  “ม้า”ถึงแม้ระยะเวลาในการเดินทางจะยาวไกลมากมันก็จะพยายามพาเจ้าของสุดที่รักของมันไปให้ถึงจุดหมายปลายทางที่ต้องการ  ครูก็เช่นกัน  ไม่ว่าจะเหน็ดเหนื่อยจากงานทางครอบครัว  งานทางโรงเรียน  งานการสอนนักเรียน  และติวนักเรียนนอกเวลาแล้ว  ครูก็พร้อมและยินดีที่จะพาลูกศิษย์สุดที่รักไปให้ถึงจุดหมาย  ไปให้ถึงฝัง  และไปสู่อนาคตที่ดีได้
        “ ความรู้ที่ใช้ปฏิบัติงานนั้นนอกจากความรู้ทางวิชาการที่กล่าวแล้ว  ยังมีความรู้ที่สำคัญอีกอย่างหนึ่ง  ที่เป็นของคู่กัน  ได้แก่  ความรู้ที่เกิดจากประสบการณ์ ”  ( พระบรมราโชวาทที่พระราชทานในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย  เมื่อวันที่  ๑๓  กรกฎาคม  ๒๕๓๒ )

วันเสาร์ที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2555

วิธีการลดภาวะโลกร้อน


วิธีลดภาวะโลกร้อน
        การลดภาวะโลกร้อนเป็นสิ่งที่ทุกคนจะต้องช่วยกันทำ เราทุกคนก็ต่างมีส่วนที่ทำให้เกิดปัญหานี้ขึ้น เพราะเพียงแค่เราหายใจอยู่เฉยๆก็ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ออกมาแล้ว ยังไม่รวมถึงกิจกรรมต่างๆมากมายที่เราทำอยู่ทุกๆวัน ถึงเวลาที่เราต้องเลิกคิดว่าภาวะโลกร้อนไม่ใช่ธุระของเรา แล้วหันมาร่วมมือกัน..มาเป็นส่วนหนึ่งในการแก้ปัญหาโลกร้อนกันเถอะ
ถ้าท่านคิดว่าการลดภาวะโลกร้อนนั้นมันทำได้ยาก หรือคิดว่าท่านคนเดียวช่วยโลกไม่ได้ หรือว่าจะทำตอนนี้มันก็ไม่มีอะไรดีขึ้นแล้ว ท่านกำลังคิดผิด!! ทุกอย่างที่เราทำจะส่งผลดีต่อโลก และมันยังมีเวลาอยู่ ถ้าไม่เริ่มที่ตัวเราก่อนก็ไม่รู้จะให้ไปเริ่มจากตรงไหน แค่เราปรับเปลี่ยนพฤติกรรมบางอย่างของเราทำอยู่ในวันๆหนึ่ง ก็สามารถช่วยลดภาวะโลกร้อนได้แล้ว ซึ่งมีวิธีลดภาวะโลกร้อนได้ง่ายๆดังนี้
  • อาบน้ำด้วยฝักบัว ประหยัดกว่าตักอาบหรือใช้อ่างอาบน้ำถึงครึ่งหนึ่งในเวลาเพียง 10 นาที ปิดน้ำขณะแปรงฟัน ประหยัดได้เดือนละ 151 ลิตร
  • ใช้น้ำร้อนให้น้อยลง การทำน้ำร้อนใช้พลังงานในการต้มสูงมาก การปรับเครื่องทำน้ำอุ่น ให้มีอุณหภูมิและแรงน้ำให้น้อยลง จะลดคาร์บอนไดออกไซด์์ได้ 159  กิโลกรัมต่อปี หรือการซักผ้าในน้ำเย็นจะลดคาร์บอนไดออกไซด์ได้ปีละ 227 กิโลกรัม
  • ใช้หลอดไฟตะเกียบ ประหยัดกว่าหลอดธรรมดา 4 เท่า ใช้งานนานกว่า 8 เท่า แต่ละหลอดช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 4,500 กิโลกรัม หลอดไฟธรรมดาเปลี่ยนพลังงานน้อยกว่า 10% ไปเป็นแสงไฟ ส่วนที่เหลือถูกเปลี่ยนไปเป็นความร้อน เท่ากับสูญพลังงานเปล่าๆ มากกว่า 90%
  • ถอดปลั๊กเครื่องใช้ไฟฟ้า เพราะยังคงกินพลังงานมากแม้จะปิดแล้ว ดังนั้นควรถอดปลั๊กโทรทัศน์ สเตอริโอ คอมพิวเตอร์ ไมโครเวฟ ฯลฯ เมื่อไม่ใช้ หรือเสียบปลั๊กเข้ากับแผงเสียบปลั๊กที่คอยปิดสวิชท์ไว้เสมอเมื่อไม่ใช้ และควรถอดปลั๊กที่ชาร์จโทรศัพท์มือถือและ MP3 เมื่อไฟเต็มแล้ว
  • ใช้ตู้เย็นแบบ 2 ประตู ขนาดความจุ 400 ลิตร ตั้งอุณหภูมิที่ 3-5 องศา และ -17 ถึง -15 องศาในช่องแช่แข็ง มีประสิทธิภาพในการประหยัดไฟมากที่สุด
  • เปิดแอร์ที่ 25 องศา อุณหภูมิต่ำกว่านี้ใช้พลังงานเพิ่มขึ้น 5 - 10 %
  • ใช้แล็บท็อปจอแบน ประหยัดไฟมากกว่าคอมพิวเตอร์ตั้งโต๊ะถึง 5 เท่า จำไว้ สกรีน เซฟเวอร์ และหมวดสแตนบายด์ไม่ได้ช่วยประหยัดไฟ พลังงานที่เสียไปเท่ากับซื้อคอมพิวเตอร์ใหม่ได้ 1 เครื่อง และพริ้นเตอร์เลเซอร์ประหยัดพลังงานมากกว่าอิงค์เจ็ท
  • พกถุงผ้าไปช็อปปิ้ง แทนการใช้ถุงพลาสติก แต่ละปีทั่วโลกทิ้งถุงพลาสติกจากซูเปอร์มาร์เก็ตหลายแสนล้านใบ อย่าลืมว่า การลดขยะเท่ากับลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
  • ใส่เสื้อผ้าฝ้ายออร์แกนิค และใช้เครื่องใช้รีไซเคิล หรือนำกลับมาใช้ใหม่ได้้
  • หลีกเลี่ยงผลิตภัณฑ์ที่มีบรรจุภัณฑ์เยอะ  เพียงแค่ลดขยะของคุณเอง 10 % จะลดคาร์บอนไดออกไซด์ ได้ 545 กิโลกรัมต่อปี
  • ปลูกต้นไม้ 1 ต้นดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 1 ตันตลอดอายุขัย และรดน้ำช่วงเช้า และกลางคืน ป้องกันการระเหย
  • กินเนื้อสัตว์ให้น้อยลง เพราะการผลิตเนื้อสัตว์ใช้พลังงานและทรัพยากรมากกว่าการปลูกพืชและธัญพืช 18% ของก๊าซเรือนกระจกมาจากอุตสาหกรรมปศุสัตว์ คุณไม่ต้องเป็นมังสวิรัติก็ได้เพื่อที่จะสร้างความเปลี่ยนแปลง ลองไม่กินเนื้อสัตว์สัปดาห์ละครั้ง จะลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้มหาศาล
  • เดินแทนขับ พาหนะใช้น้ำมันถึงครึ่งหนึ่งของโลก และปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ 1 ใน 4 ส่วน การทิ้งรถไว้ที่บ้านแม้เพียงสัปดาห์ละ 1 วันสามารถประหยัดน้ำมันและการปล่อยก๊าซเรือนกระจกได้มากมายภายใน 1 ปี ลองเดิน ขี่จักรยาน นั่งรถกับคนอื่น หรือ นั่งรถเมล์หรือรถไฟฟ้าแทน หรือลองดูว่าคุณสามารถทำงานที่บ้านโดยต่อคอมพิวเตอร์เข้ากับเครื่อข่ายของบริษัทสัปดาห์ละครั้งได้หรือไม่
  • เช็คลมยาง ให้แน่ใจว่ายางรถสูบลมแน่นการ ขับรถโดยที่ยางมีลมน้อย อาจทำให้เปลืองน้ำมันขึ้นได้ถึง 3% จากปกติ น้ำมันทุกๆ แกลลอนที่ประหยัดได้ จะลดคาร์บอนไดออกไซด์ ได้ 9 กิโลกรัม ยางที่สูบลมไม่พอจะใช้น้ำมันได้ในระยะทางสั้นลง 5%
  • ลด ใช้ซ้ำ และรีไซเคิลให้มากขึ้น ลดขยะของบ้านคุณให้ได้ครึ่งหนึ่งจะช่วยลดคาร์บอนไดออกไซต์ได้ถึง 1,089 กิโลกรัมต่อปี